เมนู

[1085] ความยินดีของผู้อยู่ครองเรือนนี่แหละ.
เป็นเสมือนเชือกผูกเหนี่ยวไว้ ธีรชนตัดเชือก
นี้ได้แล้ว ไม่อาลัยไยดี จะละกามสุข แล้วหลีก
เว้นหนี้.

จบ สุสีมชาดกที่ 6

อรรถกถาสุสีมชาดกที่ 6



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
มหาภิเนษกรมณ์ แล้วตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาฬานิ เกสานิ ปุเร
อเหสุํ
ดังนี้.
ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งที่ธรรมสภา พรรณนาถึง
การเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ของพระทศพล. พระศาสดาเสด็จมาถึง แล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เราตถาคตผู้บำเพ็ญบารมีเต็มแล้วมากมาย
หลายแสนโกฏิกัปป์ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้
ในกาลก่อนเราตถาคตก็ทอดทิ้งราชสมบัติ ในกาสิกรัฐประมาณสาม-
ร้อยโยชน์ออกสู่อภิเนษกรมณ์เหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในท้องของภรรยาหลวงของปุโรหิต
ของพระองค์. ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิดนั่นเอง ฝ่ายพระราชโอรสของ
พระเจ้าพาราณสีก็ประสูติ. ในวันขนานนามและพระนามของกุมาร
และพระราชกุมารเหล่านั้น พวกปุโรหิตขนานนามพระมหาสัตว์นั้นว่า
สุสีมกุมาร ส่วนพระนามของพระราชบุตรว่า พรหมทัตกุมาร. พระเจ้า
พาราณสีทรงดำริว่า สุสีมกุมารเกิดวันเดียวกันกับบุตรของเรา จึงมี
พระบรมราชโองการไปยังพระโพธิสัตว์ พระราชทานพี่เลี้ยง ทรงให้
เจริญวัยพร้อมกับพระราชกุมารนั้น. กุมารแม้ทั้ง 2 นั้น จำเริญวัยแล้ว
เป็นผู้มีรูปร่างสวยงาม มีผิวพรรณเหมือนเทพกุมาร เรียนศิลปะทุกอย่าง
ที่เมืองตักกสิลา สำเร็จแล้วก็กลับมา. พระราชบุตรทรงเป็นอุปราช
ทรงเสวย ทรงดื่ม ประทับนั่ง ประทับบรรทมอยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์
โดยสิ้นรัชกาลพระชนก ก็เสวยราชย์แทน พระราชทานยศสูงแก่
พระมหาสัตว์ ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งปุโรหิต วันหนึ่งรับสั่งให้เตรียม
พระนคร แล้วทรงแต่งพระองค์เหมือนท้าวสักกเทวราช ประทับนั่งบน
คอช้างต้นที่เมามัน มีส่วนเปรียบด้วยช้างเอฬาวรรณที่ตบแต่ง แล้ว
ทรงให้มหาสัตว์นั่งบนหลังช้าง ณ ที่นั่งด้านหลัง ทรงทำปทักษิณ
พระนคร. ฝ่ายสมเด็จพระราชชนนีประทับยืนที่ช่องพระแกล ด้วย
พระดำริว่า เราจักมองดูลูก ทอดพระเนตรเห็นปุโรหิตนั่งอยู่เบื้อง
พระปฤษฎางค์ของพระราชานั้นผู้ทรงทำปทักษิณพระนครแล้วเสด็จมา

ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงงดพระกระยาหาร
แล้วเสด็จบรรทมด้วยหมายพระทัยว่า เราเมื่อไม่ได้ปุโรหิตนี้ก็จักตาย
ณ ที่นี้นั่นเอง. พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นพระราชชนนี จึงตรัสถามว่า
แม่ของฉันไปไหน ? ทรงสดับว่า ประชวร จึงเสด็จไปถึงที่ประทับ
ของพระราชชนนี ทรงถวายบังคม แล้วตรัสถามว่า เสด็จแม่พระเจ้าข้า
เสด็จแม่ประชวรเป็นอะไร ? พระนางไม่ตรัสบอกพระองค์ เพราะทรง
ละอาย. พระองค์จึงเสด็จไปประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ รับสั่งให้
เรียกพระมเหสีของพระองค์มา ทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไป
แล้วทราบการประชวรของเสด็จแม่. พระนางเสด็จไป แล้วทรงนวด
พระปฤษฎางค์ไปพลางทูลถามไปพลาง. ธรรมดาผู้หญิงทั้งหลายจะไม่
ซ่อนความลับต่อผู้หญิงด้วยกัน. พระราชชนนีนั้น ตรัสบอกเนื้อความ
นั้น. ฝ่ายพระราชินีทรงสดับคำนั้น แล้วจะเสด็จไปทูลพระราชา.
พระราชารับสั่งว่า เรื่องนั้นยกไว้เถอะ เธอจงไป จงให้เสด็จแม่เบา
พระทัย ฉันจักตั้งปุโรหิตให้เป็นพระราชา แล้วตั้งเสด็จแม่ให้เป็น
อัครมเหสี. พระนางจึงได้เสด็จไป แล้วทรงให้พระราชชนนีเบาพระทัย.
ฝ่ายพระราชารับสั่งให้ปุโรหิตเข้าเฝ้า แล้วตรัสบอกเนื้อความนั้น แล้ว
รับสั่งว่า สหายเอ๋ย ขอสหายจงให้ชีวิตแก่เสด็จแม่ สหายจงเป็น
พระราชา เสด็จแม่จะเป็นพระมเหสี เราจะเป็นอุปราช. ปุโรหิตนั้น
ทูลคัดค้านว่า ข้าพระองค์ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ แต่เมื่อพระองค์ทรง
รบเร้าบ่อย ๆ ก็รับ. พระราชาได้ทรงอภิเษกปุโรหิตให้เป็นพระราชา

พระราชชนนีให้เป็นอัครมเหสี ส่วนพระองค์ทรงเป็นอุปราช. เมื่อ
ทั้ง 2 พระองค์นั้น ทรงประทับอยู่สมัครสมานกัน ในกาลต่อมาพระ-
โพธิสัตว์ ทรงระอาพระทัยในท่ามกลางเรือน การครองเรือน ทรง
ละกามทั้งหลาย แล้วทรงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ไม่ทรงอาลัย
ไยดีถึงความยินดีด้วยอำนาจกิเลส ประทับยืน ประทับนั่ง เสด็จบรรทม
แต่ลำพังพระองค์เดียวได้เป็นเสมือนถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำ และเป็น
เสมือนไก่ถูกขังไว้ในกรง. ลำดับนั้น พระมเหสีของพระองค์ ทรงดำริ
ว่า พระราชาพระองค์นี้ ไม่ทรงอภิรมย์กับเรา ประทับยืน ประทับนั่ง
และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว แต่พระราชาพระองค์นี้ เป็นคน
หนุ่ม ส่วนเราเป็นคนแก่ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของเรา ถ้ากะไรแล้ว
เราควรจะสร้างความเท็จขึ้นว่า ข้าแต่สมมติเทพ บนพระเศียรของ
พระองค์ปรากฏพระเกษาหงอก ดังนี้ ให้พระราชาทรงยอมรับ แล้ว
ทรงอภิรมย์กับเราด้วยอุบายนั้น วันหนึ่ง จึงทรงทำเป็นเสมือนหาเหา
บนพระเศียรของพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรง
ชราแล้ว บนพระเศียรของพระองค์ปรากฏพระเกษาหงอกเส้นหนึ่ง
เพคะ. พระราชาตรัสว่า ข้าแต่นางผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอเธอจงถอน
ผมหงอกเส้นนั้นมาวางไว้บนมือของฉัน. พระนางจึงทรงถอนพระเกษา
เส้น 1 จากพระเศียรของพระราชาทิ้งมันไป แล้วทรงหยิบเอาพระ-
เกษาหงอกเส้น 1 จากพระเศียรของตน แล้ววางบนพระหัตถ์ของพระ-
ราชานั้น โดยทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี้พระเกษาหงอกของพระองค์.

พระเสโทไหลออกจากพระนลาฏ ที่เสมือนกับแผ่นทองของพระโพธิสัตว์
ผู้ทรงสะดุ้ง เพราะทรงเห็นพระเกษาหงอกเท่านั้น แล้วก็ทรงกลัว.
พระองค์เมื่อทรงโอวาทตน ทรงดำริว่า ดูก่อนสุสีมะ เจ้าเป็นคนหนุ่ม
แต่กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว เจ้าจมอยู่ในเปือกตม คือกาม เหมือนหมู
บ้านจมอยู่แล้วในเปือกตม คือคูถ ฉะนั้น ไม่สามารถถอนตนขึ้นได้
บัดนี้เป็นเวลาของเจ้าที่จะละกามทั้งหลายเข้าสู่ป่าหิมพานต์บวช แล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์มิใช่หรือ ? ดังนี้ แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
เมื่อก่อนผมสีดำ เกิดบนศีรษะของเจ้า
ตามที่ของมันแล้ว สุสีมะเจ้า วันนี้เจ้าเห็น
เส้นผมเหล่านั้นมีสีขาว แล้วจงประพฤติธรรม
เถิด เวลานี้เป็นเวลาแห่งการประพฤติพรหม
จรรย์แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปเทเส ความว่า พระโพธิสัตว์
ตรัสว่า ก่อนแต่นี้ ผมทั้งหลายมีสีเหมือนแมลงภู่และดอกอัญชัญ ได้
เกิดแล้วบนศีรษะของเจ้า ซึ่งเป็นถิ่นที่เหมาะแก่ผมทั้งหลายในที่นั้น ๆ
บทว่า ธมฺมํ จร ความว่า พระโพธิสัตว์ทรงบังคับตนเองว่า เจ้าจง
ประพฤติธรรม คือกุศลกรรมบถ 10. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส มีเนื้อ
ความว่า เป็นเวลาแห่งเมถุนวิรัติของเจ้าแล้ว. เมื่อพระโพธิสัตว์พรรณนา
คุณการประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้แล้ว พระราชินีทรงสะดุ้งพระทัย

เพราะทรงกลัวว่า เราตั้งใจว่าจะทำการมัดพระทัยพระราชาไว้ แต่กลาย
เป็นทำการสละไปเสีย จึงทรงดำริว่า เราจักสรรเสริญพระฉวีวรรณ
แห่งพระสรีระ เพื่อต้องการไม่ให้พระราชาพระองค์นี้เสด็จออกผนวช
จึงได้ตรัสพระคาถา 2 คาถาว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผมหงอกของ
หม่อมฉันเอง ไม่ใช่ของพระองค์ ผมหงอก
งอกขึ้นบนศีรษะ บนกระหม่อมของหม่อมฉัน
เอง หม่อมฉันได้ทูลคำเท็จ โดยตั้งใจว่า จัก
ทำประโยชน์ให้ตน ขอพระองค์ทรงโปรด
พระราชทานอภัยโทษหม่อมฉันสักครั้งหนึ่งเถิด
เพคะ ข้าแต่มหาราช พระองค์ยังทรงหนุ่ม มี
พระโฉมน่าทัศนา ยังทรงอยู่ในปฐมวัยเหมือน
ตองกล้วยแรกผลิฉะนั้น ข้าแต่พระทูลกระ-
หม่อมจอมคน ขอพระองค์ทรงเสวยราชสมบัติ
ทรงดูแลหม่อมฉันเถิด และอย่าทรงทะยานไป
สู่การประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้ผลตามกาลเวลา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเมว สีสํ ความว่า พระราชินี
ทรงแสดงว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของหม่อมฉันเอง. คำว่า อุตฺต-

มงฺคํ เป็นไวพจน์ของคำว่า สีสํ นั่นเอง. บทว่า อตฺถํ ความว่า
หม่อมฉันทูลคำเท็จด้วยหวังว่า จักทำความเจริญแก่ตนเอง. บทว่าเอกา-
ปราธํ
ความว่า โทษผิดอย่างหนึ่งของข้าพระองค์นี้. บทว่า ปฐมุคฺคโต
ความว่า เจริญขึ้นโดยปฐมวัย. บทว่า โหหิ ได้แก่ โหสิ เป็นผู้
อธิบายว่า ดำรงอยู่แล้วในปฐมวัย. ปาฐะว่า โหสิ เยว ก็ดี. บทว่า
ยถา กลีโร ความว่า พระราชินีทรงชี้แจงว่า ตองกล้วยอ่อนมีผิวนวล
ต้องลมอ่อนพัดโชยย่อมพริ้วงามฉันใด พระองค์ก็มีพระรูปโฉมฉันนั้น.
ปาฐะว่า ปฐมุคฺคโต โหสิ ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นก็มีเนื้อความว่า หน่อ
ของไม้อ่อนแรกขึ้น น่าทัศนาฉันใด พระองค์ก็น่าทัศนาฉันนั้น. บทว่า
มมญฺจ ปสฺส ความว่า ขอพระองค์จงทรงดูแลหม่อมฉันด้วยเถิด.
อธิบายว่า โปรดอย่าทรงกระทำให้หม่อมฉันเป็นหม้ายไม่มีที่พึ่งเลย.
บทว่า กาลิกํ ความว่า พระนางทูลว่า ธรรมดาการประพฤติพรหม-
จรรย์ ที่ชื่อว่าให้ผลตามกาลเวลา เพราะจะให้ผลในอัตภาพที่ 2 ที่ 3
ส่วนราชสมบัติ ชื่อว่า ให้ผลไม่เลือกกาลเวลา เพราะอำนวยความสุข
คือกามคุณในอัตภาพนี้ทีเดียว พระองค์นั้นอย่าทรงละราชสมบัติที่ให้ผล
ไม่เลือกกาลเวลา แล้วทรงโลดแล่นไปตามการประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้
ผลตามกาลเวลาเลย.
พระโพธิสัตว์ ครั้นทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ
เธอพูดถ้อยคำนั้นที่ควรเป็นไปได้ เพราะว่า เมื่อวัยของเราที่มีความ
เปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมสีดำทั้งหลายเหล่านี้

ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนใยป่านไปหมด. จริงอยู่ เมื่อวัยของกุมาร
ทั้งหลายที่เช่นกับพวงดอกไม้ มีดอกอุบลเขียวเป็นต้น และของขัตติย-
กัญญาเป็นต้น ผู้เปรียบปานกับด้วยรูปทอง อุดมสมบูรณ์ด้วยความ
หนุ่มสาวและความสง่างาม มีความเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยน
แปลงไปแล้ว เราจะเห็นทั้งสิ่งที่น่าตำหนิทั้งความชำรุดแห่งสรีระของ
คนทั้งหลาย ผู้ถึงความชราแล้ว ดูก่อนนางผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้
โลกของสัตว์ผู้มีชีวิตนั้น ก็มีความวิบัติเป็นจุดจบ ดังนี้แล้ว เมื่อทรง
แสดงธรรมด้วยพุทธลีลาในเบื้องสูง จึงได้กล่าวคาถาทั้ง 2 ว่า :-
เราเห็นกุมารีรุ่นสาว ผู้มีรูปร่างสวยงาม
มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มีทรวดทรงเฉิดฉาย
อ่อนละมุนละไมเหมือนเถากาลวัลลี ต้องลม
โชย เอนตัวเข้าใกล้ชายเหมือนยั่วยวนชายอยู่
ฉะนั้น ต่อมาเราได้เห็นนารีคนนั้น มีความชรา
มีอายุล่วงไป 80 ปี 90 ปี ถือไม้เท้าสั่นงกงัน
มีร่างกายโค้งค้อมลงเหมือนกลอนเรือนเดินไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า สา-
มฏฺฐปสฺสํ
ความว่า มีต้นแขนเกลี้ยงเกลา อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็เป็น
สมฏฺฐปสฺสํ นั่นแหละ. อธิบายว่า มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลาที่ต้นแขน
ทั้งหมด. บทว่า สุตนุํ ได้แก่ มีรูปร่างสวยงาม. บทว่า สุมชฺฌํ ได้แก่

มีลำตัวได้สัดส่วนทรวดทรงดี. บทว่า กาลปฺปลฺลวาว ปเวลฺลมานา
ความว่า อุปมาเหมือนหนึ่งว่า เถากาลวัลลี เถาหญ้านาง ที่ขึ้นดี ๆ งาม ๆ
ในเวลายังเล็ก ยังเป็นยอดอ่อนอยู่ทีเดียว ต้องลมโชยเบา ๆ ก็โอนเอน
ไปมาทางโน้นทางนี้ฉันใด หญิงสาวนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เอนตัว
เข้าไปทำร้ายความสง่างามของหญิง. บทว่า ปโลภยนฺตีว นเรสุ คจฺฉติ
เป็นสัตตมีวิภัติลงในอรรถว่าใกล้. หญิงสาวนั้นไปใกล้สำนักชายทั้งหลาย
เป็นเหมือนยั่วยวนชายเหล่านั้นอยู่. บทว่า ตเมน ปสฺสามิ ปเรน นารึ
ความว่า สมัยต่อมาเราเห็นหญิงคนนี้นั้นถึงความชรา คือความ สวยงาม
แห่งรูปที่หายไปแล้วหมดความสวยงาม. พระโพธิสัตว์กล่าวถึงคุณของ
รูปด้วยคาถาที่ 1 บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงโทษ จึงได้กล่าวอย่างนี้. บทว่า
อาสีติกํ นาวุติกญฺจ ชจฺจา ความว่า 80 ปี หรือ 90 ปี แต่เกิดมา
บทว่า โคปาณสีภคฺคสมํ มีเนื้อความว่า มีร่างกายคดค้อมเหมือน
กลอนเรือน คือมีสรีระคดโค้งเหมือนกลอนเรือน เดินหลังค่อมเหมือน
กับหาเก็บเงินกากณึกหนึ่งที่หายไป. ก็ขึ้นชื่อว่า หญิงที่พระโพธิสัตว์
เคยเห็นเมื่อเวลายังสาว แล้วได้เห็นอีกในเวลาอายุ 90 ปี ไม่มีก็จริงแล
แต่ว่า คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาภาวะของหญิงที่เห็นได้ด้วยญาณ.
พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงโทษของรูปด้วยคาถานี้ โดย
ประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศความเบื่อหน่ายของตน
ในการครองเรือน จึงได้ตรัสคาถา 2 คาถาไว้ว่า :-

เราครุ่นคิดถึงคุณและโทษของรูปนั้นอยู่
นั่นเอง จึงนอนอยู่กลางที่นอนแต่คนเดียว
เราเมื่อพิจารณาเห็นว่า ถึงเราก็จะเป็นอย่างนี้
จึงไม่ยินดีในเรือน เวลานี้เป็นเวลาแห่งการ
ประพฤติพรหมจรรย์ ความยินดีของผู้อยู่ครอง
เรือนนี้แหล เป็นเหมือนเชือกผูกเหนี่ยวไว้
ธีรชนตัดเชือกนี้ได้แล้ว ไม่อาลัยใยดี จะละ
กามสุข แล้วหลีกเว้นหนี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสหํ ตัดบทเป็น โส อหํ ความว่า
เรานั้น บทว่า ตเมวานุวิจินฺตยนฺโต ความว่า ครุ่นคิดถึงคุณและโทษ
ของรูปทั้งหลายนั้นนั่นเอง. บทว่า เอวํ อิติ เปกฺขมาโน ความว่า
พิจารณาเห็นอยู่ว่า หญิงนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วฉันใด ถึงฉันก็เป็นฉัน
นั้น คือจักถึงความชรา มีสรีระคดค้อมลงไป. บทว่า เคเห น รเม
ความว่า เราไม่ยินดีในเรือน. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส กาโล ความว่า
พระโพธิสัตว์ทรงแสดงว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เวลานี้เป็นเวลาการ
ประพฤติพรหมจรรย์ของเรา เพราะฉะนั้น เราจักออกบวช. อักษร
ในคำว่า รชฺชุ วาลมฺพนี เจสา เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า สิ่งนี้
เป็นเสมือนเครื่องผูกเหนี่ยวไว้. สิ่งนี้คืออะไร คือความยินดีของผู้อยู่
ในเรือนใด. อธิบายว่า ความยินดีด้วยอำนาจของกามในอารมณ์ทั้งหลาย

มีรูปเป็นต้น ของผู้ครองเรือนใด. ด้วยบทนี้ พระโพธิสัตว์ทรงแสดง
ถึงความที่กามทั้งหลายมีคุณน้อย. ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ บุรุษ
ผู้ป่วยไม่สามารถพลิกตัวได้ด้วยกำลังของตนเอง ผู้พยาบาลต้องผูกเชือก
สำหรับเหนี่ยวไว้ โดยบอกว่า จงเหนี่ยวเชือกนี้พลิกตัว. เมื่อเขาเหนี่ยว
เชือกนั้นพลิกตัว ก็คงมีความสุขกายและความสุขใจหาน้อยไม่ฉันใด
เมื่อสัตว์ทั้งหลายผู้เร่าร้อนเพราะกิเลส ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถ
จะพลิกใจได้ ด้วยสามารถแห่งความสุขเกิดแต่วิเวก ปรารภอารมณ์มีรูป
เป็นต้น ที่สถิตอยู่ท่ามกลางเรือน ด้วยอำนาจการซ่องเสพเมถุนธรรม
ในเวลาพวกเขาเร่าร้อนเพราะกิเลส พลิกไปพลิกมาอยู่ ความยินดีใน
กาม ได้แก่ ความสุขกาย สุขใจ เมื่อเกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น ก็มีประมาณ
เพียงเล็กน้อย กามทั้งหลาย ชื่อว่า มีคุณมากอย่างนี้. บทว่า เอตํปิ
เฉตฺวาน
ความว่า ก็เพราะเหตุที่กามทั้งหลาย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก. ในกามนี้ยิ่งมีโทษ ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายเห็นโทษนั้น
อยู่ จึงทอดทิ้งราชสมบัติ ไม่อาลัยใยดีเหมือนบุรุษจมหลุมคูถแล้วละทิ้ง
ไม่อาลัย ฉะนั้น ละกามสุขที่มีประมาณเพียงเล็กน้อย แต่มีทุกข์มาก
อย่างนี้ แล้วเว้นหนีไป. ครั้นออกไป แล้วก็ถือบวชอันเป็นที่รื่นรมย์ใจ.
พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ชี้ให้เห็นคุณ
และโทษในกามทั้งหลายอย่างนี้ แล้วตรัสสั่งให้เรียกสหายมา ทรงมอบ
ราชสมบัติให้ เมื่อญาติมิตรและสหายผู้มีใจดีทั้งหลาย คร่ำครวญกลิ้ง

เกลือกไปมาอยู่นั่นเอง ทรงทอดทิ้งสิริราชสมบัติ แล้วบวชเป็นฤษี
ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรมยังชนจำนวนมากให้ได้ดื่มน้ำ
อัมฤต แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า พระอัครมเหสีในครั้งนั้น ได้แก่
มารดาพระราหุลในบัดนี้ พระราชาผู้เป็นพระสหาย ได้แก่ พระอานนท์
ส่วนพระเจ้าสุสีมะ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาสุสีมชาดกที่ 6

7. โกฏสิมพลิชาดก



ว่าด้วยการระวังภัยที่ยังไม่มาถึง



[1086] เราเอาพญานาคยาวตั้งพันวามาแล้ว
ท่านทรงพญานาคนั้น และเราอยู่ได้ไม่สั่น
สะท้าน.
[1087] ดูก่อนโกฏสิมพลีเทพบุตร ก็เพราะ
เหตุอะไร ? ท่าน เมื่อทรงนกตัวเล็ก ๆ นี้ ที่
มีเนื้อน้อยกว่าเรา จึงกลัวตัวสั่นสะท้านไป.
[1088] ดูก่อนพญาครุฑ ท่านมีเนื้อเป็นภัก-
ษาหาร นกตัวนี้มีผลไม้เป็นภักษาหาร นกตัวนี้
จักจิกกินลูกนิโครธ ลูกกร่าง ลูกมะเดื่อ และ
ลูกโพธิ์ แล้วมาถ่ายรดลำต้นไม้ของเรา.
[1089] ต้นไม้เหล่านั้นจะเติบโตขึ้น พวกมัน
เกิดในที่อับลมไม่มีอากาศ ที่ข้างเราจักปกคลุม
เรา ที่เราไม่ให้เป็นต้นไม้.
[1090] ต้นไม้ต้นอื่น ๆ เป็นหมู่ไม้มีรากมีลำต้น
ที่มีอยู่ ก็จะถูกสกุณชาติตัวนี้ทำลายไป โดย
การนำพืชผลมากิน.